"การสื่อสารเป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง ในการพัฒนาสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งรักษาความมั่นคงและความปลอดภัยของประเทศด้วย ยิ่งในสมัยปัจจุบัน ที่สถานการณ์ของโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ การติดต่อสื่อสารที่รวดเร็วทันต่อเหตุการณ์ ย่อมมีความสำคัญมากเป็นพิเศษ ทุกฝ่ายและทุกหน่ายงานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารของประเทศ จึงควรจะได้ร่วมมือกันดำเนินงานและประสานผลงานกันอย่างใกล้ชิดและสอดคล้อง สำคัญที่สุด ควรจะได้พยายามศึกษาค้นคว้าวิชาการและเทคโนโลยี อันทันสมัยให้ลึกและกว้างขวาง แล้วพิจารณาเลือกเฟ้นส่วนที่ดี มีประสิทธิภาพแน่นอนมาปรับปรุงใช้ด้วยความฉลาดริเริ่ม ให้พอเหมาะพอสมกับฐานะและสภาพบ้านเมืองของเรา เพื่อให้กิจการสื่อสารของชาติได้พัฒนาอย่างเต็มที่ และสามารถอำนวยประโยชน์แก่การสร้างเสริมเศรษฐกิจ สังคม และเสถียรภาพของบ้านเมืองได้อย่างสมบูรณ์แท้จริง"
ทั้งนี้ ได้มีการกำหนดให้วันที่ 4 สิงหาคมของทุกปี เป็น "วันสื่อสารแห่งชาติ" โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารจะมีการจัดงานและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อรำลึกถึงความสำคัญของวันนี้ ไม่ว่าจะเป็น การจัดทำดวงตราไปรษณียากรที่ระลึกวันสื่อสารแห่งประเทศไทย การจัดนิทรรศการแสดงเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม ฯลฯ และวันนี้เรามีเรื่องราวความเป็นมาเกี่ยวกับ "วันสื่อสารแห่งชาติ" มาฝากเพื่อน ๆ กันด้วย...
ตามประวัติความเป็นมาของวันสื่อสารแห่งชาติ ขอย้อนกลับไปในปี พ.ศ.2526 คณะกรรมการจัดงานปีการสื่อสารโลก ได้พิจารณาเห็นว่าวันที่ 4 สิงหาคม 2426 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา "กรมไปรษณีย์" และ "กรมโทรเลข" ขึ้นในประเทศไทย
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของกิจการสื่อสารของประเทศ และได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นอธิบดีผู้สำเร็จราชการทั้งกรมไปรษณีย์และกรมโทรเลขเป็นพระองค์แรก เพื่อระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ที่ได้ทรงมีแก่กิจการไปรษณีย์ไทย คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2526 กำหนดให้ วันที่ 4 สิงหาคมของทุกปีเป็น "วันสื่อสารแห่งชาติ" และจัดงาน "วันสื่อสารแห่งชาติ" ครั้งแรกได้จัดในปี พ.ศ.2526 โดยจัดร่วมกับงาน "ครบรอบ 100 ปี ของการสถาปนากรมไปรษณีย์โทรเลข" และการเฉลิมฉลอง "ปีการสื่อสารโลก" ของสหประชาชาติด้วย
ส่วนในปัจจุบัน เทคโนโลยีด้านการสื่อสารได้พัฒนาไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ และบทบาทของภาคเอกชนมีมากขึ้นรวมทั้งการแข่งขัน ในกิจการสื่อสารทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก ได้ทวีความเข้มข้นยิ่งขึ้น ความได้เปรียบในเรื่องเศรษฐกิจของโลกในยุคโลกาภิวัตน์ ขึ้นอยู่กับการมีระบบการสื่อสารให้เจริญก้าวหน้า ทัดเทียมกับประเทศอื่น คณะรัฐมนตรีได้ตระหนักถึงบทบาทความสำคัญของการสื่อสารดังกล่าวเป็นอย่างดี จึงได้มีการจัดงานวันสื่อสารแห่งชาติขึ้นเป็นประจำทุกปี (ยกเว้นปี พ.ศ. 2533 คณะกรรมการจัดงานวันสื่อสาร แห่งชาติได้มีมติให้งดการจัดแสดงนิทรรศการ คงมีแต่เฉพาะงานพิธีและการประชุมทางวิชาการเรื่องเทคโนโลยีพื้นฐานและการวางแผนระบบสื่อสารผ่านดาวเทียม) และในการจัดงานวันสื่อสารแห่งชาติแต่ละปี จะเน้นหัวข้อการจัดงานแตกต่างกันไปทุกปี
พัฒนาการของการสื่อสารข้อมูล
การสื่อสารในประเทศไทย
นอกจากพิราบสื่อสารและม้าเร็วแล้ว
การสื่อสารเริ่มเข้ามามีบทบาทต่อประเทศไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 3) ช่วงที่บ้านเมืองปลอดจากภัยสงคราม
การเมืองภายในประเทศมีเสถียรภาพมั่นคง โดยวัตถุประสงค์ของการสื่อสารในยุคนั้น
ก็เพื่อนำมาสนับสนุนกิจการด้านงานความมั่นคงของประเทศ ซึ่งยุคนั้นเรียกได้ว่า
เป็นยุคเริ่มล่าอาณานิคมของชาติมหาอำนาจทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ต่างแย่งชิงผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ด้วยกัน
และอารยะธรรมตะวันตกเริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่ภูมิภาคเอเชียอาคเนย์
ต่อมาในยุคพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 4) การสื่อสารได้เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก
และเกิดพัฒนาสัมพันธ์ทางการทูตที่ดีกับประเทศมหาอำนาจ
จนทำให้ประเทศรอดพ้นจากการถูกคุกคามจากมหาอำนาจตะวันตกหลายครา
รวมทั้งการสื่อสารสามารถทำให้รับเอาวิทยาการใหม่ๆ
มาปรับปรุงพัฒนาประเทศในเวลาต่อมา
จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
(รัชกาลที่ 5) ทรงเจริญรอยตามพระราชบิดาในการปฏิรูปประเทศ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
มหากษัตริย์ผู้วางรากฐานกิจการสื่อสารโทรคมนาคมของประเทศไทย พระองค์ทรงเห็นความสำคัญของการสื่อสารว่าเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาประเทศ
และเพื่อบำบัดทุกข์ราษฎรในพื้นที่ห่างไกล
ตลอดจนสนับสนุนงานด้านความมั่นคงของชาติด้วยประการหนึ่ง
แรกทีเดียวนั้นการสื่อสารอยู่ในรูปไปรษณีย์พิเศษ
ซึ่งเป็นหนังสือที่จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่ในบบพระบรมมหาราชวัง และเขตบบพระนครชั้นใน
โดย สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ และเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2424
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ เป็นผู้ก่อตั้งการไปรษณีย์
จนในที่สุดการสื่อสารของระบบไทย
โดยระบบไปรษณีย์ได้ถือกำเนิดขึ้นเป็น “กรมไปรษณีย์”
อย่างเป็นทางการขึ้น ในวันที่ 4 สิงหาคม 2426 โดยมีที่ทำการไปรสะนียาคารแห่งแรก ที่
ปากคลองโอ่งอ่าง ตำบลราชบูรณะ และอาคารในพระราชอุทยานสราญรมย์
ขณะนั้นได้เริ่มมีการนำเทคโนโลยีระบบโทรคมนาคมเข้ามา นั่นคือ กิจการโทรเลข ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีโทรคมนาคมอันทันสมัยรวดเร็วที่สุดในยุคนั้น เดิมทีกิจการโทรเลขอยู่ในความดูแลของกลาโหม และมีพัฒนาการต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการวางสายโทรเลขเป็นครั้งแรก ใน พ.ศ. 2418 กรุงเทพฯ ไป สมุทรปราการ เพื่อใช้ในงานราชการ จนกระทั่งได้เปิดให้มีบริการสำหรับประชาชนเป็นครั้งแรก เมื่อ 16 กรกฎาคม 2426 โดยมีอัตราค่าบริการ “คำละ 1 เฟื้อง” จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นเป็น “กรมโทรเลข” อีกกรมหนึ่ง และมีสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าภานุรังษีสว่างวงศ์ เป็นผู้สำเร็จราชการกรมโทรเลขอีกตำแหน่งหนึ่ง จากนั้นกลาโหมได้เริ่มมีการนำโทรศัพท์เข้ามาและมอบให้กรมโทรเลขดูแลต่อ
เมื่อเกิดทิศทางในการรวมการสื่อสารของชาติมาอยู่ที่เดียวกันจึงเกิดการพัฒนามากมายอย่างรวดเร็วตามมา
เช่น มีการนำรถไฟมาสนับสนุนกิจการไปรษณีย์ ก็เกิดเป็นการรถไฟตามมา
มีการนำเครื่องบินมาสนับสนุนการไปรษณีย์ที่เรียกว่า รอยัลเมลล์
ก็เกิดมีการบินขึ้นต่อมา การไปรษณีย์และโทรเลขมีการขยายบริการไปทั่วราชอาณาจักร
รวมทั้งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางของชาติในการสื่อสารไปยังต่างประเทศทั่วโลก
ภารกิจของกรมไปรษณีย์โทรเลข มีมากมายขึ้น
ถือได้ว่าเป็นราชการกรมแห่งแรกในประเทศก็กล่าวได้
จนเกิดงานสาธารณะอันสำคัญของประเทศให้รับผิดชอบขึ้นมากมาย ทั้งงานบริการโทรคมนาคม
กิจการวิทยุกระจายเสียง กิจการออมสิน กิจการวิทยุการบิน
กิจการโทรศัพท์ซึ่งภายหลังได้แยกออกไป
จนกระทั่งปัจจุบันสืบเนื่องจากเจตนารมณ์ตามมาตรา 40
แห่งรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540
ที่ต้องการให้มีองค์กรอิสระปราศจากการแทรกแซงจากรัฐ
เข้ามาทำหน้าที่บริหารทรัพยากรคลื่นความถี่วิทยุ
ซึ่งถือเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์ของสาธารณะและกำกับดูแลให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรม
อย่างแท้จริง จึงได้เกิดการตราพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่
และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2543 ขึ้นมา
ตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญฯ ฉบับดังกล่าว
ส่งผลให้มีการประกาศให้ยุบกรมไปรษณีย์โทรเลข และจัดตั้ง
“สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)”
ขึ้นมาทำหน้าที่บริหารทรัพยากรโทรคมนาคมของชาติ
และกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างเป็นธรรม
ดังที่ทราบกันดีในปัจจุบัน
ด้านงานสื่อสารโทรคมนาคม
จากการปฏิรูปการกำกับดูแลและบริหารกิจการสื่อสารโทรคมนาคมของชาติโดยภาคประชาชนในครั้งนั้นเอง
ทำให้สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.)
เป็นองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระปราศจากการแทรกแซงจากรัฐทั้งอำนาจบริหารและงบประมาณ
ทำหน้าที่กำกับดูแล (Regulator) กิจการโทรคมนาคมของประเทศ
และกล่าวได้ว่ายังเป็นองค์กรอิสระเพียงแห่งเดียวที่ไม่ถูกแทรกแซงจากรัฐบาลชุดที่ผ่านมา
ทำให้ กทช. ยังคงยืนหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคงแม้จะถูกกระบวนการสร้างข่าวลบจากผู้เสียประโยชน์จากการสร้างความเป็นธรรมก็ตาม
หรือแม้แต่การตั้งกระทรวงแห่งหนึ่งเพื่อแทรกแซงกิจการโทรคมนาคมของบางรัฐบาลก็ตาม
แต่ประชาชนทั่วไปล้วนประจักษ์ดี
กทช.
นอกจากถือเป็นองค์กรที่สืบสานพระราชปณิธานจากพระมหากษัตริย์หลายพระองค์ในราชวงศ์จักรี
พระมหากษัตริย์ที่ทรงรักพสกนิกรของพระองค์อย่างยิ่ง
และเกี่ยวข้องในการนำการโทรคมนาคมเข้าบำบัดทุกข์บำรุงสุขราษฎร
สนับสนุนการพัฒนาบ้านเมืองในทุกด้าน และสนับสนุนงานความมั่นคงของชาติ
แม้คนในวงการโทรคมนาคมมักพูดถึงแต่เรื่องธุรกิจเรื่องการผลักดันให้เกิดการแข่งขันโดยเสรีอย่างเป็นธรรมในกิจการโทรคมนาคมก็ตาม
แต่ควรช่วยกันมองหาหนทางในการประยุกต์การโทรคมนาคมเพื่อพัฒนาบ้านเมือง
และเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น