วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การรักษาโรคนิ่วแบบใหม่ เจาะผ่านผิวหนังส่องกล้องกรอนิ่วในไต (PCNL)

การรักษาโรคนิ่วแบบใหม่ ในอดีตการรักษานิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะจะกระทำด้วยการผ่าตัดเปิด แต่

ปัจจุบันนี้ได้ลดลงมากเนื่องจากมีวิธีการรักษานิ่วอีกหลายวิธีเพื่อเลี่ยงการผ่าตัด ปัจจุบันการรักษาโรคนิ่ว

แบบใหม่จะทำให้กลับบ้านได้เร็วขึ้น และถ้าเป็นซ้ำก็สามารถรักษาอีกได้ง่าย โรคนิ่วในระบบทางเดิน

ปัสสาวะเป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่งโดยจะพบเป็นนิ่วในไตมากที่สุด รองลงมาเป็นนิ่วในทอไต นิ่วใน

กระเพาะปัสสาวะ และนิ่วในท่อปัสสาวะตามลำดับ ในประเทศไทยโรคนิ่วสามารถพบได้ทุกภาคของ

ประเทศ โดยจะพบบ่อยในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอุบัติการณ์ของโรคนิ่วจะพบว่า

เกิดในเพศชายมากกว่าเพศหญิง 2 - 3 เท่าสำหรับสาเหตุของการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ จะเกิด

หลายปัจจัย ได้แก่

1. ความเข้มข้นของปัสสาวะ ถ้าหากดื่มน้ำน้อยหรือมีการเสียเหงื่อมากจะทำให้สารละลายที่

ขับออกมาจากร่างกายทางปัสสาวะมีความเข้มข้นมาก และมีโอกาสที่จะตกตะกอนจับกันเป็นผลึกและ

เป็นก้อนนิ่วได้

2. ความเป็นกรดด่างของปัสสาวะ ในบางภาวะที่ปัสสาวะมีความเป็นกรดมากจะทำให้ผลึกนิ่วบางชนิด
ก่อตัวขึ้นง่าย เช่น ผลึกนิ่วยูริค

3. การขับสารบางชนิดของร่างกายออกมาทางปัสสาวะมากเกินไป พบว่าในบางคนมีความผิดปกติ

ในการขับสารบางอย่าง เช่น แคลเซียม, ออกซาเลต, ฟอสเฟตหรือกรดยูริค ถ้าหากขับออกมาใน

ปัสสาวะมากจะทำให้เป็นนิ่วได้ง่าย

4. ภาวะการติดเชื้อบางชนิดในทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะกลุ่มแบคทีเรียที่สามารถผลิตสารยูเรียได้ จะทำให้เป็นนิ่วง่าย

5. มีภาวะที่ขัดขวางการไหลของปัสสาวะ เช่น มีการตีบแคบของกรวยไต, ท่อไต, ท่อปัสสาวะหรือมี

ต่อมลูกหมากโต จะทำให้ปัสสาวะไหลไม่คล่องคล้ายกับมีฝายกั้นน้ำหรือเขื่อนกั้นอยู่ และทำให้เกิดการ

ตกตะกอนของสารในปัสสาวะจนก่อตัวเป็นก้อนนิ่วขึ้นได้
โดยทั่วไปชนิดของนิ่วจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ

1. นิ่วที่ทึบรังสี พบได้ประมาณ 90 % โดยนิ่วในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบ การ

ตรวจเอกซเรย์จะเห็นนิ่วได้2. นิ่วที่ไม่ทึบรังสี พบได้ประมาณ 10 % มักเป็นนิ่วยูริค การตรวจโดยเอกซเรย์

จะมองไม่เห็นนิ่ว การวินิจฉัยจะยากกว่าปกติ บางครั้งแยกยากจากเนื้องอกในทางเดินปัสสาวะ อาจต้อง

ตรวจเพิ่มเติมโดยการอัลตราซาวด์, ฉีดสี เอกซเรย์หรือทำเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ในอดีตการรักษานิ่วใน

ระบบทางเดินปัสสาวะจะกระทำด้วยการผ่าตัดเปิด แต่ปัจจุบันนี้ได้ลดลงมากเนื่องจากมีวิธีการรักษานิ่ว

อีกหลายวิธีเพื่อเลี่ยงการผ่าตัด ได้แก่

1. การทานยาละลายนิ่ว เหมาะสำหรับนิ่วชนิดยูริค สามารถละลายได้โดยให้ทานยาที่ทำให้ปัสสาวะ

เป็นด่าง สำหรับนิ่วที่มีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบไม่มียาละลายนิ่ว โดยถ้านิ่วมีขนาดเล็กกว่า 0.5 ซ.ม. มี

โอกาสหลุดเองได้ โดยการดื่มน้ำเพิ่มหรือให้ยาขับปัสสาวะช่วย

2. การใช้เครื่องสลายนิ่ว (ESWL) เป็นการใช้เครื่องมือที่มีต้นกำเนิดพลังงานจากภายนอกร่างกายส่ง

คลื่นพลังเข้าไปกระแทกนิ่วให้แตกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และให้ร่างกายเป็นผู้ขับเศษนิ่วออกมาเอง การรักษานิ่ว

โดยใช้เครื่อง ESWL นี้ ผู้ป่วยควรจะเป็นนิ่วที่ไตหรือท่อไตส่วนต้น และมีขนาดของนิ่วน้อยกว่า 2 ซ.ม.

รวมทั้งต้องมีการทำงานของไตข้างนั้นพอที่จะมีปัสสาวะขับเอาเศษนิ่วที่สลายแตกแล้วให้หลุดออก

มานอกร่างกายได้ ยกเว้นนิ่วบางชนิดที่แข็งมากไม่สามารถยิงสลายให้แตกโดยวิธี ESWL ได้

3. การรักษาโดยการส่องกล้อง ได้แก่ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะจะส่องกล้องผ่านรูท่อปัสสาวะเข้าไปขบ

นิ่ว และนิ่วในท่อไตจะส่องกล้องเข้าไปในรูท่อไตเข้าไปคล้องหรือกรอนิ่วในท่อไตออกมา ซึ่งทั้ง 2 วิธี

เป็นการส่องกล้องเข้าไปในรูท่อปัสสาวะหรือรูท่อไตที่มีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้วจึงไม่มีรอยแผลผ่าตัด

4. การเจาะผ่านผิวหนังส่องกล้องกรอนิ่วในไต (PCNL) เป็นวิธีการรักษานิ่วในไตที่พัฒนามาเพื่อ

เลี่ยงการผ่าตัดโดยาใช้วิธีเจาะรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วชี้ทะลุจากผิวหนังเข้าไปในกรวยไต และใช้กล้องส่อง

ตามเข้าไปจนพบก้อนนิ่ว จากนั้นจะใช้เครื่องมือเข้าไปกรอนิ่วให้แตกออกเป็นชิ้นเล็ก ๆ และดูดหรือคีบ

นิ่วออกมา การรักษาโดยวิธี PCNL นี้ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยอย่างมาก เนื่องจากแผลเจาะมีขนาดเล็ก

1-2 ซ.ม.

เทียบกับบาดแผลผ่าตัดเปิดที่มีขนาดยาว 15 - 20 ซ.ม. อาการเจ็บแผลจะน้อยกว่า และกลับบ้านได้เร็ว

ใน 3 - 5 วันหลังผ่าตัด สามารถฟื้นตัวกลับไปทำงานได้เร็วกว่าเดิมมาก นอกจากนี้ถ้าหากเกิดเป็นนิ่วใน

ไตซ้ำขึ้นมาอีก ก็สามารถรักษาโดยวิธี PCNL ซ้ำได้ไม่ยาก ภายหลังการรักษานิ่วแล้ว ผู้ป่วยพึงระลึกว่า

ถ้าหากไม่ระมัดระวังป้องกันมีโอกาสที่จะกลับเป็นนิ่วซ้ำได้ใหม่สูงถึง35 - 50 % ภายในระยะเวลา 5 - 10

ปี ซึ่งถ้าพบว่ามีการกีดขวางทางไหลของปัสสาวะ เช่น ต่อมลูกหมากโต, ท่อปัสสาวะหรือท่อไตตีบจะ

ต้องผ่าตัดแก้ไขด้วย และ ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบของทางเดินปัสสาวะต้องรักษาให้หายขาด และมีคำ

แนะนำโดยทั่วไปที่ควรปฏิบัติเพื่อลดการเกิดนิ่วซ้ำ ได้แก่

- ดื่มน้ำอย่างน้อย 2 - 3 ลิตรต่อวัน เพื่อให้มีปริมาณน้ำปัสสาวะเพียงพอ ไม่ให้เข้มข้นมาก- ลดการ

ทานอาหารที่เค็มจัดเนื่องจากปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปจะขับออกทางปัสสาวะและมีส่วนชักนำให้

ปริมาณแคลเซียมที่ขับออกมามากตามด้วย- ถ้ามีระดับกรดยูริคในเลือดสูง ต้องควบคุมให้ลงมาอยู่ใน

ระดับปกติโดยการทานยา หรือควบคุมอาหารที่มีกรดยูริคสูง- ออกกำลังกายเป็นประจำ เพื่อที่จะให้มีการ

เคลื่อนไหวของร่างกาย เป็นการเขย่าไม่ให้ผลึกนิ่วที่อาจเกิดขึ้นเกาะกันเป็นก้อนใหญ่และช่วยขับผลึกนิ่ว

ออกมา เช่น วิ่งจ๊อกกิ้ง สัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น