วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิ่วในไต และท่อไต


ช่วงนี้เราคงจะได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ “นิ่ว” บ่อยไม่แพ้เรื่องโรคภัยไขเจ็บอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นตาแดง ไข้หวัด

ใหญ่ หรือไวรัสตับอักเสบ บี อันฮือฮา...สาเหตุก็คงจะมาจากเทคโนโลยีใหม่ซึ่งเรานำเข้ามาใช้ในการ

กำจัดนิ่วออกจากร่างกายโดไม่ต้องผ่าตัดฉบับนี้ นายแพทย์ดำรงพันธุ์ วัฒนะโชติ  หัวหน้าหน่วยศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ ฝ่ายศัลยกรรม โรง พยาบาลราชวิถี ได้แจกแจงโรคนิ่ว และการระวังป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เพื่อจะได้ไม่ต้องมารอคอย่าตัด หรือทำการระเบิดนิ่ว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงอย่างมาก...

⇒โรคนิ่วเป็นกันแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะคนไทย

โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะเป็นโรคที่พบกันมากในสมัยโบราณ ดังเช่นที่มีหลักฐานตรวจพบก้อนนิ่วในปัสสาวะของมัมมี่ ซึ่งมีอายุกว่า 7,000 ปีในประเทศอียีปต์ ที่ผ่านมานี้มีบุคคลสำคัญของโลกหลายท่านป่วยเป็นโรคนิ่ว (เช่น เบนจามิน แฟรงคลิน ไอแซคนิวตัน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นต้น)

จากอดีตจนถึงปัจจุบันโรคนิ่ว ยังเป็นกันแพร่หลายทั่วโลก ประเทศที่พัฒนาแล้วมักเป็นโรคนิ่วที่ไต ส่วนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะพบน้อยลงมาก ประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ประเทศไทย ปัจจุบันพบนิ่วในไตมากขึ้นเรื่อย ๆ คือประมาณร้อยละ 63 ของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ 
ขณะเดียวกันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะก็ยังพบอยู่มากเช่นกัน คือประมาณร้อยละ 37 แนวโน้มและสภาพปัญหา ในขณะนี้จึงแตกต่างไปจาก 15 – 30 ปีที่แล้ว ซึ่งในขณะนั้นพบนิ่วในกระเพาะปัสสาวะเป็นส่วนใหญ่ คือ มากกว่าร้อยละ 80 ในอดีตประมาณ 15-30 ปีที่แล้ว คนไทยเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะกันมากต่างจากปัจจุบันที่มีแนวโน้มจะเป็นนิ่วในไตและท่อไตสูงมากขึ้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น? 

คำตอบนี้เป็นปรากฏการณ์ และอุทาหรณ์ที่นำมาสนทนากันอยู่เสมอในวงการแพทย์ทั้งในประเทศอังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ในระหว่างสองศตวรรษที่แล้วมาเคยพบนิ่วในกระเพาะปัสสาวะบ่อย ปัจจุบันสูญหายไป

 ประเทศญี่ปุ่นพบมากในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง 
จากการศึกษาวิจัยถึงปัญหาโรคนิ่วโดย โยชิตะ ในปี พ.ศ. 2522 พบว่า ชาวญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่สองช่วงปี พ.ศ. 2488 ยังเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะกันมาก แต่ภายหลังปี พ.ศ. 2513 พบว่าจำนวนผู้ป่วยเป็นนิ่วในไตเพิ่มขึ้นกว่าเดิมประมาณ 3 เท่าตัว และพบอัตราผู้ป่วยเป็นนิ่วในไตมีอยู่ประมาณร้อยละ 4 ของประชากรทั้งหมด ในปัจจุบันนิ่วในกระเพาะปัสสาวะลดลงจนแทบจะไม่เห็นอีกเลย


มื่อลองพิจารณาดูสภาพความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นหลังสงครามโลก การพัฒนาประเทศได้นำไปสู่ความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนสภาพเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวญี่ปุ่นซึ่งมีอาหารหลักคือข้าว ได้เริ่มดีขึ้นทั้งด้านเศรษฐกิจและแนวโน้มของการกินอาหารเทียบเท่าประเทศพัฒนาในยุโรปและอเมริกาเหนือ 

ได้มีการศึกษาเปรียบเทียบแนวโน้มของกากินอาหารของชาวญี่ปุ่นในเวลาเดียวกัน พบว่ามีการกินอาหารในกลุ่มโปรตีนและไขมันในปริมาณสูงมาก และเมื่อพิจารณาชนิดของอาหารพบว่ามีการกินนม เนย เนื้อสัตว์มากขึ้นกว่าในอดีต พฤติกรรมในการกินอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่มากกว่าปกติ เป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดนิ่วในไตเพิ่มมากขึ้น ส่วนนิ่วในกระเพาะปัสสาวะลดลง ประเทศไทยในระยะหลังนี้ เริ่มเปลี่ยนเป็นประเทศกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ ปัญหาทุโภชนาการลดลง พฤติกรรมการกินอาหารคงจะเปลี่ยนแปลงไป ทำให้แนวโน้มการเกิดโรคนิ่วในไตจึงสูงมากขึ้นตามลำดับ และคงจะเป็นปัญหามากยิ่งขึ้น ในอนาคตถ้าไม่มีมาตรการที่จะป้องกันไว้แต่เนิ่น ๆ

⇒ท่านทราบไหมว่า นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะอยู่ตรงไหน
ระบบทางเดินปัสสาวะประกอบด้วยไตสองข้าง ซึ่งทำหน้าที่สร้างปัสสาวะโดยจะกรองและขับสารหลายชนิดรวมทั้งเกลือแร่บางอย่างที่ร่างกายไม่ต้องการ หรือมีปริมาณมากเกินไปออกมาในน้ำปัสสาวะ ซึ่งเมื่อออกจากท่อหน่วยกรองเล็ก ๆ ของไตแล้วก็จะไหลลงกรวยไต ท่อไตผ่านลงมาในกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นส่วนที่เก็บปัสสาวะไว้ และขับออกทางท่อปัสสาวะในเวลาที่ต้องการ
 นิ่วที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินปัสสาวะนั้น จะเริ่มเกิดขึ้นที่ไต มีขนาดเป็นผงหรือเม็ดเล็ก ๆ เท่าเม็ดทราย แต่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าไม่หยุดออกมาเสียก่อน เมื่อผู้ป่วยเริ่มมีอาการและ/หรืออาการและ/หรือตรวจพบโดยแพทย์ที่ให้การรักษา แพทย์จะอธิบายให้คนไข้ทราบและเข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยเรียกตามตำแหน่งที่ตรวจพบก้อนนิ่ว เช่น “นิ่วที่ไต” “นิ่วที่ท่อไต” “นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ” และ “นิ่วในท่อปัสสาวะ” เป็นต้น ผู้ป่วยบางคนอาจเป็นนิ่วหลายก้อนในคราวเดียวกัน เช่น อาจจะเป็นนิ่วอยู่ที่ไต และอีกก้อนอยู่ในท่อไต หรืออาจเป็นนิ่วที่ไตหรือท่อไตทั้งสองข้างก็พบได้เสมอ ๆ

⇒นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

ประมาณ 30 ปีที่แล้วจากผลงานของ ศ.น.พ.สนอง อูนากูล พบว่านิ่วในกระเพาะปัสสาวะเป็นโรคที่พบบ่อยในคนไทย โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคภาคเหนือ ส่วนประกอบมักจะเป็นกรดยูริกและแคลเซียมออกซาเลต ในปี พ.ศ. 2506 ศ.น.พ.อารี วัลลยะเสวี และศ.พ.ญ.สาคร ธนมิตต์ ได้ศึกษาพบว่า สาเหตุของนิ่วในกระเพาะปัสสาวะในเด็กภาพเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความสัมพันธ์กับปัญหาโภชนาการและแบบแผนการเลี้ยงดูเด็ก ความเคยชินในการกินอาหารของคนในชนบทซึ่งได้แก่ การป้อนอาหารกึ่งแข็งกึ่งเหลวตั้งแต่อายุ 3-4 วัน





การป้อน “ข้าวย้ำ” ซึ่งเป็นข้าวเหนียวที่แม่จะเคี้ยวให้ละเอียด ผสมกับกล้วยแล้วนำมาห่อใบตอง ปิ้งไฟ เด็กๆ กินอิ่มท้องก็จะทำให้กินนมแม่น้อยลงส่วนในเด็กโตกินข้าวปั้นผสมเกลือปิ้งไฟเรียก “ข้าวจี่” หรือไม่ก็ข้าวเหนียวจิ้มปลาร้า เด็กเหล่านี้จึงขาดอาหารพวกโปรตีน เกลือแร่ และฟอสฟอรัสที่ควรจะได้รับ ขณะเดียวกันเด็กๆ ในชนบท ชอบกินผักใบเขียวที่หาเก็บได้รอบ ๆ บ้าน ซึ่งพบว่ามีสารออกซาเลตสูง 
ในชนบทบ้านเราอากาศร้อนแต่ชาวบ้านมักจะดื่มน้ำน้อย ปัจจัยเสี่ยงจากสภาพแวดล้อม สภาพเศรษฐกิจ สังคม และพฤติกรรม เหล่านี้ทำให้เด็กขาดอาหารพวก โปรตีน เกลือแร่ และฟอสฟอรัสที่ควรจะได้รับ ในสภาวะเช่นนี้ จึงทำให้เป็นโรคนิ่วได้ง่าย สำหรับผู้ใหญ่ นิ่วในกระเพาะปัสสาวะส่วนใหญ่มักจะเป็นนิ่วที่เลื่อนลงมาจากไตหรือพบในผู้ป่วยที่มีปัสสาวะคั่งในกระเพาะปัสสาวะนาน ๆ เช่น ในผู้ป่วยอัมพาตไขสันหลัง โดยเฉพาะเมื่อมีการคาสายสวนปัสสาวะไว้นาน ๆ ถ้ามีการอักเสบเรื้อรังก็จะทำให้เป็นนิ่วได้

⇒นิ่วในกระเพาะปัสสาวะสามารถป้องกันได้โดย

1. ให้เด็กกินอาหารโปรตีน เช่น เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ อาหารเหล่านี้มีธาตุฟอสฟอรัสซึ่งช่วยไม่ให้สารออกซาเลตจับตัวเป็นผลึก

2. หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีสารออกซาเลตสูง ได้แก่ ผักโขมน้อย ผักโขมใหญ่ ใบชะพลู ผักติ้ว ผักกระโดน

3. ดื่มน้ำให้มาก ๆ ทำให้ปัสสาวะมาก สารในปัสสาวะจะเจือจางลง

4. กินยาบางชนิดที่มีฟอตเฟต ต้องปรึกษาและรับคำแนะนำจากแพทย์

5. ในผู้ใหญ่ต้องป้องกันโดยรักษาที่ต้นเหตุของการปัสสาวะขัด เช่น มีกรอุดตันจากต่อมลูกหมากหรือจากการอักเสบเนื่องจากสายสวนมีปัสสาวะคาอยู่ในผู้ป่วยอัมพาต การเปลี่ยนล้างบ่อย ๆ หรือไม่พยายามคาสายสวนไว้ตลอดไป

⇒นิ่วในไต-ท่อไต

นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน หมายถึงนิ่งที่ตรวจพบที่ไต และท่อไต ก้อนนิ่วไม่ว่าจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่เพียงใดก็ตาม ปกติไม่ใช่ “ตัวโรค” ที่ผ่านหรือจู่โจมเข้าไปในตัวเรา แต่ก้อนนิ่วเกิดจากกระบวนการหลายอย่างที่ผิดปกติทางสรีระของการดูดซึมและขับสารบางอย่างออกมาในน้ำปัสสาวะ สารเหล่านี้ได้แก่ แคลเซียม ออกซาเลต ฟอสเฟต กรดยูริก แมกนีเซียม แอมโมเนียม และซีสทีน เป็นต้น ปกติเมื่อปริมาณของสารเหล่านี้เพิ่มขึ้น จนถึงจุดอิ่มตัวไม่สามารถละลายไปได้หมด ก็จะเปลี่ยนสภาพเป็นผลึกของสารเกลือนั้น ๆ จะเห็นได้ว่าภาวะ หรือปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการอิ่มตัวของสารเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับ

- ปริมาณที่ได้รับจากสารอาหาร

- ปฏิกิริยาทางสรีระและเคมีในร่างกาย

- ชนิดจองสาร

- ภาวะกรดด่างของปัสสาวะ

- ถ้าปริมาณปัสสาวะน้อยย่อมทำให้สารนั้นมีความเข้มข้นสูงขึ้น

- ในปัสสาวะของผู้ป่วยโรคนิ่ว มักจะขาดสารที่ช่วยในการยับยั้งไม่ให้เกิดการรวมตัวของผลึกเหล่านี้ เป็นก้อนใหญ่และเปลี่ยนเป็นก้อนนิ่ว สารยับยั้งนี้ได้แก่ ไพโรฟอสเฟต ซิเทรด เป็นต้น สารยับยั้งเหล่านี้มีความสำคัญดังจะเห็นได้ว่า บางคนมีอัตราขับถ่ายสารผลึกบางชนิดสูง แต่ไม่เป็นนิ่ว ทั้งนี้ก็เพราะในปัสสาวะของคน ๆ นั้นมีสารที่ยับยั้งการเกิดนิ่วนั่นเอง

- ความผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะซึ่งทำให้การไหลของปัสสาวะไม่สะดวก

- การอักเสบติดเชื้อเรื้อรังก็เป็นสาเหตุทางอ้อม ที่ทำให้มีการจับตัวของผลึกเป็นก้อนนิ่วได้เร็วหรือพอกพูนเป็นก้อนใหญ่ได้เช่นกัน


ก้อนนิ่วจึงเกิดจากกระบวนการต่าง ๆ ดังกล่าว มิได้เกิดจากการดื่มน้ำบ่อ น้ำบาดาล ที่สงสัยว่าจะมีตะกอนทรายอย่างที่หลายท่านเข้าใจ ตรงกันข้ามน้ำดื่มไม่ว่าจะเป็นน้ำประปา น้ำฝน น้ำบ่อบาดาล ถ้าเตรียมไว้ถูกต้อง สะอาดพอที่จะใช้ดื่มได้แล้ว ก็สามารถป้องกันการเกิดนิ่วได้ โดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีอากาศร้อนจัด ร่างกายเสียน้ำไปทางเหงื่อ ควรจะมีความเคยชินที่จะดื่มน้ำให้มาก ๆ เพราะในสภาวะเช่นนั้นท่านจะเสี่ยงต่อการเกิดนิ่ว

⇒อาการของนิ่วในไตและท่อไต

- ปวดบริเวณบั้นเอวร้าวไปถึงหลัง หรือร้าวลงมาบริเวณขาหนีบ และหน้าขา

- ปัสสาวะขัดเวลาปวดปัสสาวะ และปัสสาวะอาจมีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อหรือเลือด

- ปัสสาวะขุ่น

- อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน

- มีไข้ ถ้ามีการอักเสบรุนแรงของไต


การตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์


เมื่อสงสัยว่าเป็นนิ่วในทางเดินปัสสาวะ แพทย์จะสั่งตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์ ตรวจ อัลตราซาวนต์ หรือตรวจส่องด้วยกล้องโดยส่งผ่านเข้าไปทางท่อปัสสาวะ

การรักษา


การรักษาขึ้นกับขนาดและตำแหน่งของก้อนนิ้ว  ผงนิ่วเล็ก ๆ ที่ติดฝั่งอยู่ในเนื้อไต แพทย์จะให้คำแนะนำและรอดูอาการโดยไม่ทำอะไรให้นิ่วก้อนเล็ก ๆ ขนาดไม่เกินครึ่งเซนติเมตร หรือเท่าหัวไม้ขีด มักจะหลุดได้เอง โดยไม่ต้องทำผ่าตัดแพทย์จะแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ ให้ยาบางชนิดเพื่อรักษาอาการปวดและขับปัสสาวะทำให้ก้อนนิ่วหลุดได้ง่ายขึ้น ส่วนนิ่วก้อนใหญ่ไม่มีทางหลุดอออกได้เอง แพทย์จะแนะนำให้เอาออกโดยอาจจะใช้เครื่องมือหรือทำการผ่าตัด

ปัจจุบันการเอาก้อนนิ่วออกจากไต ท่อไต มีวิธีการและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นซึ่งได้แก่

1. การผ่าตัดทางสีข้างและหลัง เอาก้อนนิ่วออกจากกรวยไต ท่อไต หรือผ่านเนื้อไต เป็นวิธีการที่ทำได้และทำเป็นประจำกันอยู่ในเกือบทุก ๆ โรงพยาบาล


2. การใช้เครื่องมือใส่ผ่านทางท่อปัสสาวะ ท่อไตขึ้นไปถึงไต แล้วใช้เครื่องมือคีบ ขบ หรือสลาย
ก้อนนิ่วให้แตกเป็นผงด้วยพลังงานจากเครื่องอัลตราซาวนด์แล้วดูดผง นิ่วที่แตกนี้ออก


3. การเจาะผ่านผิวหนังบริเวณสีข้างด้วยเข็มเล็ก ๆ และใช้อุปกรณ์เครื่องมือขยายขึ้นเรื่อย ๆ จนสามารถใส่เครื่องมือเข้าไปส่องตรวจดูก้อนนิ่วในไต แล้วจึงใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ สลายเป็นผง วิธีนี้ผู้ป่วยมีแผลเพียงเล็กน้อยประมาณ 1-2 เซนติเมตร


4. การใช้พลังงานจากภายนอก ผ่านผิวหนังเข้าไปสลายก้อนนิ่วซึ่งเรียกว่าคลื่นช็อก (shock wave) หรือเครื่องเสียงอัลตราซาวนด์ วิธีการนี้สามารถสลายก้อนนิ่วที่สลายออกเป็นผงจะหลุดลงมาในท่อไต- กระเพาะปัสสาวะและผ่านออกมากับน้ำปัสสาวะ


ผู้ป่วยควรจะทำความเข้าใจถึงวิธีการ และข้อดีข้อเสียของการรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ซึ่งแพทย์จะอธิบายให้ทราบและเลือกวิธีการที่เหมาะสมที่สุดโดยพิจารณาจาก


1. ความเหมาะสมของสถานบริการโรงพยาบาล ด้านเครื่องมือ อุปกรณ์ บุคลากร และข้อความ สามารถของแพทย์ผู้ให้การรักษา การผ่าตัดด้วยวิธีทั่ว ๆ ไปเป็นวิธีการที่ปฏิบัติกันอยู่แล้วและได้ผลดี นอกจากในรายที่มีปัญหามาก ๆ ก็มีระบบบริการส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย


2. ความเหมาะสมที่จะสามารถติดตามผลการรักษาของผู้ป่วยและให้คำแนะนำได้ถูกต้อง


3. ความเหมาะสมด้านฐานะเศรษฐกิจของผู้ป่วย ถ้าเลือกใช้วิธีทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ไม่ควรจะให้เป็นปัญหาสำหรับผู้ป่วย

⇒ข้อแนะนำในการรักษานิ่วในไต และท่อไต

เมื่อนิ่วมีขนาดไม่ใหญ่และแพทย์ประสงค์จะให้การรักษาโดยให้หลุดออกมาเองในกรณีที่ยังไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัด

1. ควรดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ปัสสาวะออกมาก และลดความเข้มข้นของสารเกลือในปัสสาวะ
ป้องกันการอิ่มตัวของสารและการจับเป็นผลึก ควรดื่มน้ำประมาณ 1 แก้ว 200 หรือ 250 ซี.ซี. ทุก 
2 ชั่วโมง ในเวลากลางวัน และถ้าตื่นขึ้นมาในเวลากลางคืนให้ดื่มน้ำอีก 1-2 แก้ว ครึ่งหนึ่งขงปริมาณที่ดื่มควรเป็นน้ำธรรมดา ที่เหลืออาจเป็นเครื่องดื่มอื่น ๆ ตามชอบ แต่ไม่ควรหวานจัด หรือเป็นน้ำชากาแฟแก่ ๆ

2. หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น กระโดดเชือกหรือวิ่งเหยาะ ๆ ตามสมควร ควรเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ ซึ่งจะทำให้เกิดก้อนนิ่วได้ยาก และโดยเฉพาะผู้ที่มีนิ่วในท่อไต นิ่วจะเคลื่อนและหลุดได้ง่ายขึ้น


3. ควรกินยาตามที่แพทย์สั่งโดยสม่ำเสมอ ถ้านิ่วขนาดพอจะหลุดได้ในขณะถ่ายปัสสาวะให้สังเกตดูด้วยว่ามีนิ่วหลุดออกมากับปัสสาวะหรือไม่ โดยหาภาชนะ เช่น กระโถน หรือถุงพลาสติกรองปัสสาวะไว้ ถ้ามีก้อนนิ่วหลุดออกมาควรนำไปให้แพทย์ ตรวจวิเคราะห์ต่อไป


4. ถ้าแพทย์พบว่าเกิดโรคนิ่วเนื่องจากโรคประจำตัวบางชนิด เช่น โรคไขข้อ หรือโรคเกาด์ ซึ่งมีกรดยูริกในเลือดสูง ควรจำกัดอาหารประเภทเนื้อหรือสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์หรือตือฮวน อาจต้องกินยา เช่น อัลโลพูรินอล และ/หรือยาอื่น ๆ ร่วมด้วยตามคำแนะนำแพทย์


5. ถ้าแพทย์ตรวจพบมีการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ หรือมีพยาธิสภาพการอุดตันของทางเดินปัสสาวะ ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น กินยาปฎิชีวนะร่วมด้วย

6. สมุนไพรพื้นบ้านบางชนิดสามารถนำมาใช้เป็นยาขับปัสสาวะ หรือเปลี่ยนภาวะกรดด่างได้ จึงน่าจะนำมาร่วมในการรักษาทดแทนยาแผนปัจจุบันบางชนิดได้ ได้แก่ หญ้าหนวดแมว ดอกกระเจี๊ยบ เมล็ดฟักทองคั่ว อาจจะนำมาใช้ได้ตามสมควรโดยเฉพาะในส่วนภูมิภาค แต่ท่านควรปฏิบัติในข้ออื่นและฟังคำแนะนำของแพทย์ด้วย


โดยทั่ว ๆ ไปแล้วในกรณีที่ยังไม่ทราบชนิดของก้อนนิ่วที่เป็นอยู่ ควรยึดสายกลางในการเลือกกินอาหารที่มีคุณค่าครบ 5 หมู่ และสร้างสุขนิสัยในการกินอาหาร ไม่จำเจหรือกินอาหารพวกเนื้อสัตว์หรือไขมันมากเกินความจำเป็น เพราะจะทำให้มีการขับออกของสารแคลเซียม ออกซาเลตและยูริก ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดนิ่วชนิดที่มีแคลเซียมปนอยู่ได้ง่ายจึงควรกินผลไม้ และผักให้มากขึ้น

⇒การตรวจส่วนประกอบของก้อนนิ่ว เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันมิให้เป็นนิ่วอีก


งานศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ โรงพยาบาลราชวิถี เริ่มให้บริการ ตรวจวิเคราะห์ส่วนประกอบของก้อนนิ่ว โดยใช้วิธีปฏิกิริยาทางเคมีมาเป็นเวลาร่วม 10 กว่าปีแล้ว และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 ได้มีโอกาสใช้การวิเคราะห์ด้วยแสงอินฟราเรดซึ่งให้ผลได้แม่นยำกว่าวิธีแรก

ส่วนประกอบของนิ่วในไตที่นำมาวิเคราะห์สามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือ
นิ่วชนิดมีแคลเซียม ได้แก่ แคลเซียมออกซาเลต แคลเซียมฟอสเฟต หรือปนกันทั้งสองชนิด 

และนิ่วชนิดที่ไม่มีแคลเซียม ได้แก่ กรดยูริก แมกนีเซียม แอมโมเนียมฟอสเฟต ซีสทีน เป็นต้น 

นิ่วในก้อนเดียวกันอาจมีส่วนประกอบของผลึกหลายชนิดดังกล่าวนี้ก็ได้
การตรวจส่วนประกอบของก้อนนิ่วจะมีประโยชน์ในการป้องกันมิให้เกิดนิ่วซ้ำอีก หลังเอานิ่วก้อนเดิม ออกไปแล้ว เพราะผู้ที่เคยเป็นนิ่วจะมีโอกาสเป็นนิ่วได้อีกมากกว่าคนที่ไม่เคยเป็นประมาณ 8 เท่า และมักจะเป็นนิ่วชนิดเดียวกับที่เคยเป็นอยู่ก่อนแล้วนั่นเอง

การป้องกันมิให้เป็นนิ่วซ้ำอีก มีวิธีง่าย ๆ คือ ควรรู้จักหลีกเลี่ยงอาหารที่เป็นต้นเหตุของการเกิดนิ่ว โดยมีหลักดังนี้


1. นิ่วชนิดแคลเซียมออกซาเลต ควรลดอาหารที่มีปริมาณแคลเซียม และออกซาเลตสูงพร้อม ๆ กัน และลดอาหารเค็มจัดหรือวิตามินซีเกินความจำเป็น (ปกติร่างกายต้องการวิตามิน ซี วันละ 400-500 มิลลิกรัม ไม่ควรให้เกินวันละ 1 กรัม เพราะวิตามิน ซี ทำให้มีการดูดซึมของแคลเซียมและมีการสร้างออกซาเลตสูง)


2. นิ่วชนิดกรดยูริกและเกลือยูริก โดยเฉพาอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีกรดยูริกในเลือดสูง หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคเกาต์ ควรเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เพราะตับจะเปลี่ยนสารนี้ ให้เป็นกรดยูริก และขับออกทางปัสสาวะ จึงควรงดอาหารที่มีพิวรีนสูง และไม่ควรกินอาหารที่มีพิวรีนปานกลางมากนัก


3. นิ่วชนิดแคลเซียมฟอสเฟต แมกนีเซียมแอมโมเนียฟอตเฟต มักเกิดจากการอักเสบของทางเดินปัสสาวะ ต้องคอยตรวจปัสสาวะและใช้ยาปฏิชีวนะ ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด


⇒บทสรุป 

1. นิ่วเป็นปัญหาสาธารณะสุขของชาติ เป็นกันมากในประเทศไทย ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ทำให้สูญเสียเศรษฐกิจของชาติอย่างมาก ปัจจุบัน นิ่วในกระเพาะปัสสาวะในเด็กลดลง แต่นิ่วในไตของผู้ใหญ่มีอัตราเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ยังไม่มีการศึกษาและมาตรการที่ดีในการป้องกัน


2. การรักษานิ่วในปัจจุบันมีการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถรักษาได้ลงผู้ป่วยมีบาดแผลน้อยลง หรือไม่มีบาดแผลเลย เช่น การใช้เครื่องสลายก้อนนิ้วจากภายนอกให้ป่นเป็นผงแล้วหลุดออกมากับปัสสาวะ แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำและเลือกวิธีการที่ถูกต้องตามหลักการรักษา และป้องกันเหมาะสมกับฐานะสภาพทางเศรษฐกิจสังคมของผู้ป่วย


3. การวิเคราะห์ส่วนประกอบของก้อนนิ่ว มีความสำคัญเป็นส่วนหนึ่งที่จะให้คำแนะนำผู้ป่วยในการรักษาและป้องกัน โดยที่เมื่อทราบชนิดของนิ่วการแนะนำเรื่องอาหาร เป็นสิ่งที่ควรจะต้องกระทำอย่างยิ่ง เพราะถือเป็นบันไดขั้นแรกก่อนที่จะให้การรักษาด้วยยาและสิ่งสำคัญคือ เป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดด้วย

หากใช้วิธีสลายนิ่วได้คนไข้จะไม่เจ็บตัว แต่เสียค่าใช้จ่าย
มาก อย่างไรก็ตามการรักษาโดยสลายนิ่วก็มีข้อจำกัด

นายแพทย์ กำธร จินดาวิจักษณ์
ศูนย์สลายนิ่วอุรุพงษ์

“ที่นิ่วเครื่องสลายนิ่วมาใช้เนื่องจาก ปี พ.ศ. 2528 มีคนไข้อายุ 73 ปีเป็นนิ่วในกรวยไต ขนาด 3 เซนติเมตร และเคยผ่าตัดสมองมาแล้ว การผ่าไตจะไม่ปลอดภัย พอดีมีรายงานจากประเทศเยอรมนีตะวันตกว่า คิดค้นเครื่องสลายนิ่วได้ แต่มีคนรอมากต้องคอยอีก 6 เดือนกว่าจะไปรักษาได้ ปลายปี พ.ศ. 2528 ได้ข่าวว่าที่สิงคโปร์ มีเครื่องสลายนิ่ว และค่าใช้จ่ายถูกว่า จึงส่งคนไข้ไปรักษาก็สำเร็จกลับมา ต่อมา ก็ส่งไปอีก 3 คนก็ได้ผล จึงเห็นได้ว่าน่าจะมีเครื่องนี้มารักษา แต่ราคาเครื่องแพงมาก ขณะนั้น 65 ล้านบาท ต่อมาฝรั่งเศสผลิตขึ้นมาราคาถูกลง คือประมาณ 30 ล้านบาท เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2531 จึงสั่งซื้อเข้ามา ตั้งแต่นำมาใช้ รักษาคนไข้ไปกว่า 290 ราย ซึ่งเป็นนิ่วในไตและท่อไตเนื่องจากเครื่องราคาแพง ค่าใช้จ่ายสูง ค่ารักษาจึงค่อนข้างแพงสำหรับบ้านเรา คืออยู่ระหว่าง 20,000 -40,000 บาท


การเตรียมการรักษานั้นก็ต้องซักประวัติ ตรวจรักษาเหมือนคนไข้ที่จะผ่าตัดทั่วไป การผ่าตัดปัจจุบันจะเป็นหนทางสุดท้าย หากใช้วิธีสลายนิ่วได้คนไข้จะไม่เจ็บตัว แต่เสียค่าใช้จ่ายมาก อย่างไรก็ตามการรักษาโรคสลายนิ่วก็มีข้อจำกัด เช่น คนไข้ต้องไม่มีการอุดกั้นที่ท่อไต ต้องไม่มีเลือดออกง่าย ไม่เป็นคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ หรือต้องใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ เด็กต่ำกว่า 8 ขวบ หญิงมีครรภ์ ปอดบวม กะบังลมต่ำ น้ำหนักเกิน 135 กิโลกรัม หรือสูงเกิน 2 เมตร ผู้ที่มีรูปร่างบิดเบี้ยวคดไป คดมา ผู้มีตำแหน่งไตต่ำ พวกนี้จะสลายนิ่วไม่ได้” 

การใช้เครื่องสลายนิ่วหรือไม่ ควรให้แพทย์เป็นผู้ตัดสิน...
ถ้าสงสัยว่าเป็นนิ่วควรปรึกษาแพทย์ที่ใกล้ชิด เพื่อขอความ
เห็นว่าเหมาะสมหรือไม่


นายแพทย์ อนุพันธ์ ตันติวงศ์ ศูนย์สลายนิ่ว โรงพยาบาลศิริราช


“ปกติแล้วนิ่วส่วนหนึ่งเกิดแล้วจะหลุดออกเอง ที่หลุดออกเองส่วนมากเกิดที่ท่อไต ที่เกิดอยู่ในไตถ้าตรวจแล้วไม่มีอันตรายก็ไม่ต้องไปทำอะไรก็ได้ ที่มาหาหมอมักจะมีขนาดใหญ่ คือโตกว่าครึ่งเซนติเมตรมักจะไม่หลุดเอง ต้องเอาออก การรักษาเดิมทีนั้นใช้วิธีผ่าตัด ต่อมาใช้วิธีใช้กล้องเข้าไปทำให้แตกและดูดออกประมาณ 3-4 ปีมานี้ มีการใช้เครื่องสลายนิ่วเข้ามาอีกวิธีหนึ่ง มีคนจำนวนมากไม่เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ คิดว่าเครื่องสลายนิ่วเป็นเครื่องมือวิเศษ ที่มีนิ่วอะไรถ้ายิงแล้วนิ่วจะหายไปเลย เครื่องสลายนิ่ว เป็นเพียงเครื่องมือชนิดใหม่อีกอันหนึ่งที่จะช่วยทำให้รักษานิ่ว โดยเฉพาะนิ่วในไต หรือบางส่วนในท่อไต แต่เครื่องชนิดนี้ไม่ใช่เครื่องวิเศษที่จะรักษานิ่วได้ทุกชนิด คือ การใช้เครื่องสลายนิ่วทำให้นิ่วแตกออกในขนาดต่างกันจำนวนมาก อาจจะหลุดมา อุดท่อไต และก่อนที่จะหลุดออกมักจะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนได้ เช่น ปวด มีไข้ เกิดการอักเสบ แต่โอกาสอย่างนี้มีไม่มากนัก 


เพราะฉะนั้น การจะใช้เครื่องสลายนิ่วหรือไม่ ควรให้แพทย์เป็นผู้ตัดสิน เพราะถ้ารู้ว่าเป็นนิ่วหรือสงสัย ควรปรึกษาแพทย์ที่ใกล้ชิดหรือแพทย์ทางเดินปัสสาวะเสียก่อนเพื่อขอความเห็นหรือคำชี้แจงว่าเหมาะสมอย่างไร  ราคาเครื่องที่ใช้อยู่ประมาณ 25 ล้านบาท ต้นทุนเครื่องและค่าบำรุงสูง ค่าใช้จ่ายก็สูง อย่างไรก็ตามเครื่องเราได้รับบริจาคมาส่วนหนึ่ง จึงเก็บค่าใช้จ่ายในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าเอกชน คือทางโรงพยาบาล คิดค่าใช้จ่ายไว้ 15,000 บาท


การสลายนิ่วเป็นการรักษาไม่ใช่การป้องกันการเกิดนิ่ว...
นิ่วย่อมมีโอกาสเป็นอีกถึงแม้จะสลายไปแล้ว และเครื่อง
สลายนิ่วเหมาะสมในคนบางกลุ่มและในบางชนิดของนิ่ว
นายแพทย์ อภิชาติ กงกะนันท์
ศูนย์สลายนิ่วโรงพยาบาลบำรุงราษฎ์



“เรานำเครื่องมาใช้ปลายเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ครบเมื่อเดือนสิงหาคม 2531 ที่ผ่านมา รักษาคนไข้ไป 500 ราย คนไข้บางคนอาจต้องมารักษามากกว่า 1 ครั้ง คนไข้ที่รักษาไปแล้วเท่าที่จำได้ยังไม่มีกลับมาอีก แต่อย่าลืมนะครับว่า นี่เป็นการสลายนิ่ว เป็นการรักษา ไม่ใช่การป้องกันการเกิดนิ่ว เพราะฉะนั้นนิ่วย่อมมีโอกาสเป็นอีกถึงแม้จะสลายไปแล้ว
อัตราค่ารักษาเฉลี่ยราว 4-5 หมื่นบาท บางครั้งอาจจะเหมาะเพราะบางคนนิ่มก้อนใหญ่ต้องสลายหลายครั้ง ที่ถามว่ามีผลเสียไหม ตอบไม่ได้ในขณะนี้ เพราะว่าในวิชาการแพทย์มองย้อนหลังเหตุการณ์ผ่านพ้นไป 10-20 ปี การสลายนิ่วมีอะไรเสียหาหรือเปล่านั้น ยังตอบไม่ได้ แต่ข้อดีคือว่า คนที่เป็นนิ่วขนาด 1-2 เซนติเมตร สมัยก่อนเราต้องผ่าตัด ต้องเสียเวลานอนโรงพยาบาล 10 วันหรือ 2 สัปดาห์ กว่าจะไปทำงานได้ และบางที คนไข้ก็กลัวการผ่าตัด จะไม่ยอมรับการรักษา เมื่อมีเครื่องสลายนิ่วก็สะดวกขึ้น แต่ไม่ใช่นิ่วทุกอย่างใช้ได้


ผมอยากฝากก็คือ ถ้าเป็นนิ่วควรไปพบแพทย์ตรวจเช็คดูว่าจะต้องทำวิธีไหน? อะไรที่สำคัญที่สุด? เพราะเครื่องสลายนิ่ว จะเหมาะสมในคนบางกลุ่มและในบางชนิดของนิ่ว และในคนบางกลุ่มก็อาจจะต้องใช้วิธีการรักษาเช่นเดิม”



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น